เรียนต่อญี่ปุ่น
(Study in Japan)
ภาคการศึกษา
ปีการศึกษาใหม่ของประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มในเดือน เมษายน และสิ้นสุดในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
โดยแบ่งภาคเรียนออกเป็น 2 ภาค ดังนี้ คือ
- ภาคต้น ตั้งแต่ เดือนเมษายน – เดือนกันยายน
- ภาคปลาย ตั้งแต่ เดือนตุลาคม – เดือนมีนาคม
ในส่วนของการปิดภาคการศึกษานั้น จะแตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัยหรือคณะ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีช่วงปิดภาคการศึกษา 3 ครั้งใน 1 ปี คือ
ปิดภาคฤดูร้อน ต้นเดือนกรกฎาคม – ปลายเดือนสิงหาคม
ปิดภาคฤดูหนาว ปลายเดือนธันวาคม – ต้นเดือนมกราคม
ปิดภาคฤดูใบไม้ผลิ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ – ต้นเดือนเมษายน
หมายเหตุ: มีมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่แห่งที่มีการรับนักศึกษาเข้าเรียนในเดือนตุลาคมของการศึกษาภาคปลาย
ระบบการศึกษา
การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับประเทศไทย กล่าวคือมีการศึกษาในชั้นกลาง 12 ปี ตั้งแต่ระดับประถม 6 ปี มัธยมต้น 3 ปี และมัธยมปลาย 3 ปี หลังจากนั้นจะมีให้เลือกเรียนในสายอาชีพ และระดับมหาวิทยาลัย โดยการศึกษาภาคบังคับจะเริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (มัธยมศึกษาปีที่ 3) หรือตั้งแต่อายุ 6 ปี ถึงอายุประมาณ 14 ปี รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 9 ปี นักเรียนที่เรียนในการศึกษาภาคบังคับจะได้รับตำราเรียนฟรี คณะบริหารของโรงเรียนเป็นผู้เลือกตำราเรียนทุก ๆ สามปีโดยเลือกจากรายชื่อหนังสือที่กระทรวงการศึกษาได้รับรองแล้วหรือหนังสือที่กระทรวงจัดทำขึ้นเอง กระทรวงจะเป็นผู้รับภาระค่าตำราทั้งในโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชน ตำรามีขนาดเล็กใช้ปกอ่อนหุ้ม สามารถพกพาได้โดยง่ายและถือว่าเป็นสมบัติของนักเรียน
ตารางสรุปภาพรวมการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น
อายุ (ปี) | ระดับการศึกษา | รายละเอียด |
3 – 5 | อนุบาล (3 ปี) | แม้จะไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับแต่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะเข้าเรียนในชั้นนี้ |
6 – 11 | ประถมศึกษา (6 ปี) | การศึกษาภาคบังคับของประเทศญี่ปุ่น |
12 – 14 | มัธยมศึกษาตอนต้น (3 ปี) | การศึกษาภาคบังคับของประเทศญี่ปุ่น |
15 – 17 | มัธยมศึกษาตอนปลาย (3 ปี) | |
18 – 21+ | ปริญญาตรี (4 ปี+) | ระยะเวลาในการศึกษา 4 ปี ยกเว้นคณะแพทยศาสตร์ / ทันตแพทยศาสตร์ และสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งจะต้องใช้เวลา 6 ปี |
21+ | ปริญญาโท (2 ปี) | จัดอยู่ในสถานศึกษาประเภทบัณฑิตวิทยาลัยระยะเวลาในการศึกษาไม่เกิน 2 ปี |
22+ | ปริญญาเอก (3 ปี+) | ระยะเวลาเรียนไม่เกิน 3 ปี ยกเว้น คณะแพทยศาสตร์ / ทันตแพทยศาสตร์ และสัตวแพทยศาสตร์ระยะเวลาเรียน 4 ปี |
วิทยาลัย (2 ปี+) | ระยะเวลาในการศึกษา 2 ปี ยกเว้น คณะพยาบาลศาสตร์ใช้ระยะเวลาเรียน 4 ปี | |
วิทยาลัยเทคนิค (2 ปี+) | เรียนหลักสูตรต่อเนื่อง 5 ปี (สำหรับผู้ที่จบมัธยมศึกษาตอนต้น) และใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปี (สำหรับผู้ที่จบมัธยมศึกษาตอนปลาย) | |
วิทยาลัยอาชีวศึกษา (หลักสูตรวิชาชีพขั้นสูง) | เป็นสถาบันการศึกษาวิชาชีพแขนงต่าง ๆ จบแล้วสามารถนำวิชาความรู้ไปประกอบอาชีพได้ทันทีระยะเวลาในการศึกษา โดยทั่วไป 2 ปี (ไม่มีหลักฐานภาษาอังกฤษ) |
ระบบการศึกษาของญี่ปุ่น แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
- การศึกษาระดับต้น ได้แก่ การศึกษาระดับอนุบาล โดยเริ่มเข้าศึกษาตั้งแต่อายุ 3 ปี จนถึงอายุ 5 ปี และการศึกษาระดับประถมศึกษาหลักสูตร 6 ปี ตั้งแต่อายุ 6 ปี จนถึงอายุ 12 ปี
- การศึกษาระดับกลาง ได้แก่ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาซึ่งแบ่งออกเป็น
2.1. มัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตร 3 ปี ตั้งแต่อายุ 12 ปี ถึง 15 ปี การเรียนในชั้นจะมีผลต่อการเข้าศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง
2.2. มัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตร 3 ปี เริ่มเข้าศึกษาตั้งแต่อายุ 15 ปี ถึง 18 ปี
ในปัจจุบันโรงเรียนมัธยมปลายที่เปิดรับนักเรียนต่างชาติเข้าเรียนยังมีไม่มากเท่าใดนัก ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของโรงเรียนประจำคือ นักเรียนจะใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนตลอดเวลา โดยมีหอพักอยู่ในบริเวณโรงเรียน พร้อมอาหารครบทุกมื้อ ซึ่งการจะเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมปลายที่ญี่ปุ่นได้ จำเป็นจะต้องมีพื้นความรู้ภาษาญี่ปุ่นมากพอสมควร เนื่องจากการเรียนการสอนจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด สำหรับนักเรียนที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ภาษาญี่ปุ่นหรือมีพื้นฐานเพียงเล็กน้อย ในช่วงปีแรกของการเข้าเรียนทางโรงเรียนจะเน้นการเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาหลัก และเรียนวิชาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยความรู้ภาษาญี่ปุ่นมากนักร่วมกับเด็กนักเรียนญี่ปุ่น เช่น ดนตรี พละศึกษา คอมพิวเตอร์ เป็นต้น หลังจากที่นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจภาษาญี่ปุ่นมากเพียงพอจึงจะเริ่มให้เข้าเรียนร่วมกับเด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ซึ่งวิชาที่เรียนก็จะคล้ายกับประเทศไทย เช่น วิชาคณิตศาสตร์ สังคม ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ เป็นตัน
- การศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้แก่ การศึกษาในมหาวิทยาลัยวิทยาลัย และวิทยาลัยอาชีวศึกษา
3.1 มหาวิทยาลัย หรือ Daigaku มหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่นที่เปิดสอนะดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
3.1.1 มหาวิทยาลัยของรัฐ คือ มหาวิทยาลัยที่จัดตั้งโดยรัฐบาลกลางของญี่ปุ่น กระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งหมด 8 แห่ง (ข้อมูลปีพ.ศ. 2556) โดยแต่ละจังหวัดจะมีมหาวิทยาลัยของรัฐบาล 1 แห่งเป็นอย่างต่ำ
3.1.2. มหาวิทยาลัยของท้องถิ่น คือ มหาวิทยาลัยที่จัดตั้งโดยองค์กรปกครองตนเองส่วนท้องถิ่น มีอยู่ทั้งสิ้น 90 แห่งทั่วประเทศ
3.1.3. มหาวิทยาลัยเอกชน คือ มหาวิทยาลัยที่จัดตั้งโดยเอกชนมีอยู่ทั้งสิ้น 606 แห่งทั่วประเทศ
การศึกษาระดับปริญญาตรี แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- นักศึกษาภาคปกติ ระยะเวลาในการศึกษา 4 ปี ยกเว้น คณะแพทยศาสตร์ , ทันตแพทยศาสตร์ และสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งจะต้องใช้เวลา 6 ปี
- นักศึกษาเวลาพิเศษประเภทไม่รับหน่วยกิต (Auditors) สามารถเลือกเรียนวิชาต่าง ๆ ไต้ แต่คุณสมบัติของนักศึกษาและวิชาที่เปิดให้เข้าเรียนจะแตกต่างไปตามแต่ละมหาวิทยาลัย (นักศึกษาประเภทนี้จะไม่ได้รับหน่วยกิต)
- นักศึกษาเวลาพิเศษประเภทได้รับหน่วยกิต รายละเอียดเหมือนนักศึกษาเวลาพิเศษประเภทแรก แต่นักศึกษาประเภทนี้จะได้รับหน่วยกิตแม้ว่าจะแบ่งมหาวิทยาลัยออกเป็น 3 ประเภทตามองค์กรที่จัดตั้งก็ตามแต่ทั้ง 3 ประเภทก็ถูกจัดตั้งขึ้นด้วยมาตรฐานเดียวกัน คุณภาพทางการศึกษาในระดับเดียวกัน ต่างกันที่ค่าใช้จ่ายของเอกชนจะแพงกว่าของรัฐบาลและท้องถิ่น และถึงแม้ว่านักศึกษาส่วนใหญ่ต่างก็มุ่งที่จะเรียนในโตเกียวก็ตาม แต่ในพื้นที่อื่น ๆ ของญี่ปุ่นก็มีข้อได้เปรียบอื่น ๆ หลายอย่าง เช่นในเรื่องค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า จำนวนนักศึกษาต่อห้องที่น้อยกว่าทำให้อาจารย์ดูแลได้ทั่วถึง มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสังคมท้องถิ่นง่ายกว่าการอยู่ในเมืองใหญ่ที่สับสนวุ่นวาย เป็นต้น
3.1. วิทยาลัย หรือ Tanki Daigaku การศึกษาในระดับนี้ใช้ระยะเวลาในการศึกษา 2 ปี เช่นเดียวกับ Jonior College หรือ Two – year College ของสหรัฐอเมริกาแต่อาจจะมีบางสาขาวิชากำหนดหลักสูตรไว้ 3 ปี เช่น สาขาพยาบาล เป็นต้น วิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นนั้นประมาณร้อยละ 60 ของวิทยาลัยทั้งหมดเป็นวิทยาลัย เฉพาะสำหรับผู้หญิง ซึ่งประกอบด้วยสาขาทางต้น คหกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ สุขศึกษา บริหารธุรกิจ และเลขานุการ (ปัจจุบันสาขาวิทยาศาสตร์ได้รับความนิยมเพิ่มมากชื้น) การรับเข้าศึกษาจะกำหนดคุณสมบัติต่าง ๆ ไว้ เช่น เดียวกับการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยและผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร 2 หรือ 3 ปี ของวิทยาลัยประเภทนี้อาจสมัครเข้าศึกษาในชั้นปีที่ 2 หรือ 3 ของมหาวิทยาลัยได้
3.2. วิทยาลัยเทคนิค หรือ Koto Senmon Gakko เป็นสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรต่อเนื่อง 5 ปี จากมัธยมศึกษาตอนต้น สำหรับผู้ที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายใช้เวลาเรียน 2 ปี เพื่อผลิตช่างเทคนิคระดับต้นมารองรับการพัฒนาประเทศด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม สถาบันส่วนใหญ่เป็นวิทยาลัยเทคนิคทางวิศวกรรมศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นจะเป็นสาขาพิเศษต่าง ๆ เช่น การเดินเรือพาณิชย์ เป็นต้น ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคนี้ มหาวิทยาลัยอาจพิจารณารับเข้าศึกษาในชั้นปีที่ 2 หรือ 3 ในหลักสูตรปริญญาตรีของมหาวิทยาลัย
3.3. วิทยาลัยอาชีวศึกษา เป็นสถาบันการศึกษาวิชาชีพแขนงต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความสามารถและความชำนาญที่จำเป็นในการประกอบอาชีพเปิดสอนหลักสูตรระยะสั้น 1-3 ปี โดยปกติแล้วจะเป็น 2 ปี สถาบันการศึกษาประเภทนี้ มีชื่อเรียกแตกต่างกันตามพื้นฐานความรู้ของผู้เข้าศึกษา คือ
-
-
-
- Senshu Gakho คือ สถาบันการศึกษาที่รับผู้สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนตัน (ม.3) เข้าศึกษา
- Senmon Gakko คือ สถาบันการศึกษาที่รับผู้สำเร็จระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) เข้าศึกษา
- KakushuGakho (Miscellaneous School) คือ สถาบันการศึกษาที่รับทั้งผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และบุคคลทั่วไป
-
-
หลักสูตรที่เปิดสอนในวิทยาลัยอาชีวศึกษาแบ่งออกเป็น 8 สาขา ได้แก่
- สาขาอุตสาหกรรมศาสตร์ เช่น ไฟฟ้า เครื่องกล วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมก่อสร้าง ช่างสำรวจ และสถาปัตยกรรม เป็นต้น
- สาขาเกษตรศาสตร์ เช่น เกษตรกรรม การจัดสวน เทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น
- สาขาการแพทย์และการพยาบาล เช่น พยาบาล เทคนิคทันตกรรมกายภาพบำบัด เป็นต้น
- การศึกษาและสังคมสงเคราะห์ เช่น การดูแลเด็กอ่อนและคนชรา สวัสดิการสังคม เป็นต้น
- สาขาสาธารณสุขศาสตร์ เช่น อาหาร โภชนาการ ช่างทำผม ช่างเสริมสวย เป็นต้น
- สาขาพาณิชยศาสตร์ เช่น บัญชี เลขานุการ ธุรกิจท่องเที่ยว การโรงแรม เป็นต้น
- สาขาคหกรรมศาสตร์ เช่น ตัดเย็บเสื้อผ้า ธุรกิจแฟชั่น ออกแบบ การตัดเย็บแบบญี่ปุ่น เป็นต้น
- สาขาศิลปวัฒนธรรมและการศึกษาทั่วไป เช่น ภาษาศาสตร์ ศิลปกรรม ดนตรี กีฬา ถ่ายภาพ การแสดง เป็นต้น
ภาพระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น
สอบถามข้อมูลการบริการเพิ่มเติมติดต่อ
โทร : 090-327 3558, 088-269 5099
Email :contact@thebest-edu.com
Line : @thebestedu หรือคลิกเพิ่มเพื่อนด้านล่างได้เลยค่ะ
คุณสมบัติการรับนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษา
การเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่น การเรียนการสอนส่วนใหญ่สอนโดยใช้ภาษาญี่ปุ่น การจะเข้าไปนั่งเรียนกับนักศึกษาญี่ปุ่นได้จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นในระดับที่ดีมาก
สำหรับผู้ที่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นแล้ว (ระดับ N2 -N1)
- สมัครโดยตรงจากประเทศไทย
มีมหาวิทยาลัยรับนักศึกษาโดยพิจารณาจาก ใบสมัครและเอกสารประกอบการสมัคร และตอบรับเข้าเรียนก่อนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่น โดยพิจารณาจากผลการสอบ EJU (มหาวิทยาลัยประมาณ 60 แห่ง) ประกอบกับผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น
- เดินทางไปสอบคัดเลือกในประเทศญี่ปุ่นโดยวีซ่าระยะสั้น
วิธีนี้ต้องวางแผนการให้ดี เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยมีการจัดสอบไม่ตรงกันคือสำหรับการเปิดภาคเรียนในเดือนเมษายน การสอบเข้าจะอยู่ในระหว่างเดือนกันยายน – มีนาคม
สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่น หรือต่ำกว่าระดับ N2
เข้าศึกษาในสถาบันสอนภาษาที่ญี่ปุ่นก่อน เป็นวิธีที่นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่ใช้มากที่สุดโดยเรียนกาษาญี่ปุ่นประมาณ 1 – 2 ปี หลังจากนั้นค่อยสมัครเข้าเรียนและดำเนินการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย หรือยื่นคะแนน EJU ตามแต่เงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัย รายละเอียดการสมัครเข้าเรียนแต่ละดับจำเป็นต้องเป็น ไปตามเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ดังต่อไปนี้
ระดับปริญญาตรี
- เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตร 12 ปี ( ตั้งแต่ ป.1 – ม.6 )
- กรณีที่สำเร็จการศึกษาในเวลา 10 ปีหรือ 11 ปี จะต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาใน “หลักสูตรเตรียมเข้าศึกษาต่อ” จากสถาบันที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม การกีฬาและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- เป็นผู้ที่สอบผ่านการสอบที่ได้รับการรับรองจากแต่ละประเทศว่าเทียบเท่าการสอบอนุมัติสำเร็จหลักสูตรการศึกษา จากสถานศึกษาระดับสูงของญี่ปุ่น
- เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า มีความรู้ความสามารถเทียบเท่า หรือมากกว่าผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ดังนี้ คือ
- เป็นผู้ที่สอบผ่านหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายนานาชาติ (International Baccalaureate) หรือสอบผ่านหลักสูตร Abitur ของประเทศเยอรมันและมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตร 12 ปี จากสถานศึกษาสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การประเมินการศึกษานานาชาติ (WASC, ACSI, ECIS) และมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความรู้ความสามารถเทียบเท่า หรือมากกว่าผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ขึ้นอยู่กับการพิจารณาคุณสมบัติให้เข้าศึกษาเป็นราย ๆ ไป จากมหาวิทยาลัย และมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
ระดับปริญญาโท
- ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (หลักสูตร 4 ปี) หรือผู้ที่ได้รับการรับรองว่ามีความรู้ความสามารถเทียบเท่า หรือสูงกว่าปริญญาตรี หรือเป็นผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศเป็นเวลา 16 ปี (ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี)
- สำหรับผู้ที่จบการศึกษาในต่างประเทศเป็นเวลา 15 ปี ต้องเป็นผู้ที่บัณฑิตวิทยาลัยรับรองว่า มีผลการเรียนดีเยี่ยม หรือผู้ที่ได้รับการรับรองคุณสมบัติจากมหาวิทยาลัยที่ประสงค์จะเข้าต่อว่ามีความรู้ความสามารถเทียบเท่า หรือสูงกว่าและมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี
ระดับปริญญาเอก
- ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หรือผู้ที่ได้รับการรับรองว่า มีความรู้ ความสามารถเทียบเท่าหรือสูงกว่าปริญญาโท
- ผู้ที่ได้รับการตรวจสอบคุณสมบัติจากมหาวิทยาลัยที่ประสงค์จะเข้าศึกษาต่อว่ามีความรู้ความสามารถเทียบเท่า หรือสูงกว่าปริญญาโท และมีอายุไม่ต่ำกว่า 24 ปีสำหรับหลักสูตรปริญญาเอกของคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์และสัตวแพทยศาสตร์ ต้องเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปีขึ้นไป ต้องเป็นผู้ที่มหาวิทยาลัยรับรองว่ามีผลการเรียนดีเยี่ยม และยังรวมไปถึงผู้ที่จบการศึกษาในต่างประเทศ เป็นเวลา 16 ปี
นักศึกษาวิจัย นักศึกษาที่ไม่ใช่นักศึกษาภาคปกติและไม่ต้องการได้รับปริญญาจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำวิจัย เป็นระยะเวลา 1 ภาคการศึกษา ซึ่งผู้ที่จะเข้าเป็นนักศึกษาวิจัยจะต้องจบปริญญาตรีขึ้นไป นักศึกษาวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- นักศึกษาที่ไม่ต้องการปริญญาบัตร แต่ต้องการทำวิจัยในมหาวิทยาลัยเป็นระยะเวลาสั้นๆ ตามกฎหมายนักศึกษาวิจัยที่จะได้รับสถานภาพการพำนักเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น ๆ จะต้องเข้าฟังบรรยายเป็นเวลามากกว่า 10 ชั่วโมง/สัปดาห์ มหาวิทยาลัยส่วนมากจะรับนักศึกษาโดยพิจารณาจากเอกสารเป็นหลัก
- นักศึกษาภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนระหว่างมหาวิทยาลัย
- นักศึกษาที่เตรียมเข้าศึกษาหลักสูตรปกติระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
กรณีผู้ที่เตรียมเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอก (รวมทั้งผู้ที่ประสงค์จะเปลี่ยนสาขาวิชา) อาจเข้าเป็นนักศึกษาวิจัย เป็นเวลา 1 ปี เพื่อทำความคุ้นเคยกับวิชาและระบบต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ตลอดจนทำความคุ้นเคยกับนักศึกษาและอาจารย์ทั้งยังเป็นโอกาสพัฒนาภาษาญี่ปุ่นด้วย และมหาวิทยาลัยบางแห่งมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นการภายในสำหรับนักศึกษาวิจัยอีกด้วย อย่างไรก็ตามนักศึกษาไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นนักศึกษาวิจัยก่อน หากสามารถเข้าระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกได้เลย นอกจากนั้นสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะอนุญาตให้นักเรียนศึกษาวิจัยต่างชาติพักอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น
ระดับวิทยาลัย
การเข้าศึกษาระดับวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น จะต้องสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนของประเทศตนเอง เป็นระยะเวลา 12 ปี (ตั้งแต่ ป.1-ม.6) และมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
ระดับวิทยาลัยอาชีวศึกษา
การเข้าศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาในประเทศญี่ปุ่น จำเป็นต้องมีข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตร 12 ปี (จบม.ปลาย) และต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- กรณีที่สำเร็จการศึกษาระดับกลางในเวลา 10 หรือ 11 ปี จะต้องเป็นนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรเตรียมเข้าศึกษาต่อจากสถาบันที่ได้รับการรับรองและจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- ในการจะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนั้น จะต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเทียบเท่าหรือสูงกว่า
- เป็นผู้ที่สอบผ่านหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายของหลักสูตรนานาชาติ ( International Baccalaureate) หรือสอบผ่านหลักสูตร Abitur ของประเทศเยอรมนี และต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
- เป็นผู้ที่สำเร็จหลักสูตร 12 ปี ในสถานศึกษาสำหรับชาวต่างชาติซึ่งได้รับการรับรองจากองค์กรการประเมินระหว่างประเทศ ( WASC , ACSI , ECIS ) และต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
ความรู้ความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น
การเข้าศึกษาในวิทยาลัยอาชีวศึกษาจำเป็นต้องมีข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- เป็นผู้ที่ศึกษาภาษาญี่ปุ่นมาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนในสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงยุติธรรมและสมาคมส่งเสริมการศึกษาภาษาญี่ปุ่น (และมีอัตราการเข้าเรียน 80% ขึ้นไป)
- เป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบความสมารถทางภาษาญี่ปุ่นที่จัดโดยสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นและมูลนิธิญี่ปุ่นในระดับ 1 หรือ
- เป็นผู้ที่เคยศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาหรือโรงเรียนมัธยมต้นหรือโรงเรียนมัธยมปลายในญี่ปุ่น เป็นเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
- เป็นผู้ที่ได้คะแนนของการสอบเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น (EJU) วิชาภาษาญี่ปุ่น มากกว่า 200 คะแนนขึ้นไป (ผลรวมของคะแนนการอ่าน, การฟัง, การฟังและการอ่าน)
เอกสารที่ใช้ในการสมัครสถานศึกษา
เอกสารที่ใช้ในการสมัครสถานศึกษานั้น อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละมหาวิทยาลัยแต่โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย
- ใบสมัคร
- ประวัติส่วนตัว
- ใบรับรองการสำเร็จการศึกษา (หรือคาดว่าจะจบ) จากสถานศึกษาล่าสุด
- ใบรับรองผลการศึกษา (Transcripts) จากสถานศึกษาล่าสุด
- จดหมายรับรองจากอธิการบดี หรือคณบดี หรืออาจารย์ที่ปรึกษา จากมหาวิทยาลัยที่สำเร็จการศึกษา
- บทคัดย่อของงานวิจัย(ถ้ามี) วิทยานิพนธ์ จากมหาวิทยาลัยที่สำเร็จการศึกษา
- โครงร่างงานวิจัย (เป้าหมาย)
- ใบรับรองแพทย์ (ตามข้อกำหนดของมหาวิทยาลัย)
- รูปถ่าย
การพิจารณารับเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ระดับปริญญาตรี
- การสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น และการสอบวิชาสามัญทั่วไป การเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย นักศึกษาต้องผ่านการสอบคัดเลือกเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ และมีมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่จัดให้มีกระบวนการสอบคัดเลือกพิเศษสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งผู้สมัครต้องไปสอบที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่พิจารณาจากการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น และการสอบวิชาสามัญทั่วไปสำหรับนักศึกษาต่างชาติมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่รับเข้าศึกษาต่อโดยการคัดเลือกจากเอกสารเพียงอย่างเดียว
- การสอบโดยศูนย์การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ เป็นการสอบสำหรับนักศึกษาญี่ปุ่นที่ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐหรือท้องถิ่นจำเป็นต้องผ่านการทดสอบของศูนย์การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนมากยกเว้นการสอบให้กับนักศึกษาต่างชาติ แต่บางคณะของสถาบันบางแห่งยังคงกำหนดให้นักศึกษาต่างชาติต้องผ่านการสอบนี้อยู่ โดยเฉพาะคณะแพทยศาสตร์
- วิธีการอื่น ๆ ในการคัดเลือกนักศึกษาต่างชาติ วิธีการอื่นๆที่มหาวิทยาลัยใช้ในการคัดเลือกนักศึกษาต่างชาติ มีทั้งการตรวจสอบเอกสาร การสอบวัดความสามารถที่มหาวิทยาลัยนั้น ๆ จัดขึ้นโดยเฉพาะการสอบสัมภาษณ์ บทความสั้นเรียงความ การสอบวัดความสามารถและความถนัดอื่น ๆ ซึ่งมีวิธีการแตกต่างกันไปตามคณะของแต่ละมหาวิทยาลัย
สถาบันระดับอุดมศึกษาในประเทศญี่ปุ่นจะประกาศรับสมัครนักศึกษาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี นักศึกษาควรติดต่อกับทางสถาบันการศึกษาโดยตรงเนื่องจากสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งจะกำหนดวิธีการในการสมัครของตนเองวันหมดเขตรับสมัครจะแตกต่างกันไปตามสถาบันหรือคณะ บางแห่งก็เร็ว คือ อยู่ในช่วงเดือนสิงหาคมหรือเดือนกันยายน บางแห่งช้าไปจนถึงเดือนมกราคมหรือเดือนกุมภาพันธ์ หากส่งใบสมัครจากประเทศไทยต้องคำนึงถึงระยะเวลาของการส่งไปรษณีย์ด้วยเนื่องจากเอกสารจะต้องถึงก่อนวันปิดรับสมัคร
ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก (บัณฑิตวิทยาลัย)
มีมหาวิทยาลัยบางแห่งที่สามารถเข้าศึกษาได้เลยโดยพิจารณาจากเอกสารการสมัครเรียน แต่โดยทั่วไปแล้วนักศึกษาจำเป็นต้องผ่านการสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยที่จัดขึ้นที่ญี่ปุ่นก่อน นอกเหนือจากการตรวจสอบเอกสาร การสอบข้อเขียนตามสาขาวิชาเอก การสอบภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ และวิชาพิเศษอื่น ๆ แล้ว ยังอาต้องสอบสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องหัวข้อวิจัย รวมทั้งสาขาที่จะเข้าศึกษา ทั้งนี้ มีมหาวิทยาลัยบางแห่ง ต้องใช้ผลการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นมาประกอบในการสมัครด้วย
มหาวิทยาลัยหลายแห่งกำหนดให้นักศึกษาทั้งภาคปกติและนักศึกษาวิจัยติดต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อให้อาจารย์ที่ปรึกษารับรองก่อนสมัครเรียน ดังนั้นจึงควรสอบถามไปยังมหาวิทยาลัยที่จะสมัครเสียก่อนว่า จำเป็นต้องติดต่อกับอาจารยที่ปรึกษาหรือไม่ ในกรณีที่จำเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือ ขอให้ศาสตราจารย์ผู้รับผิดชอบในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ แนะนำอาจารย์ที่ปรึกษาให้ หรือในกรณีที่ส่งจดหมายที่ปรึกษาควรส่งผลงานหรือวิทยานิพนธ์ที่เคยทำสมัยปริญญาตรี แผนการทำวิจัย รวมทั้งชี้แจงถึงเหตุผลที่เลือกท่านมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างละเอียด ถ้าเป็นไปได้ควรแนบใบรับรองจากอาจารย์ที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัยที่เคยหรือกำลังศึกษาอยู่ไปด้วยเนื่องจากอาจารย์ต้องพิจารณารับนักเรียนจากเอกสารโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจึงต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ การติดต่ออาจารย์ในครั้งแรกๆอาจไม่ได้รับการตอบกลับมา จำเป็นต้องติดต่อหรือติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงถึงความตั้งใจจริงและความกระตือรือร้น
การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอาจารย์ที่ปรึกษา
- ค้นหารายชื่ออาจารย์และสังกัดจากหนังสือแนะนำมหาวิทยาลัย, หนังสือแนะนำอาจารย์ของมหาวิทยาลัย หรือจดหมายข่าว
- สอบถามข้อมูลจากผู้ที่เคยไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น หรือผู้ที่ทำงานอยู่ในสาขาที่จะศึกษาต่อ
- ถ้าค้นหาข้อมูลของสาขาที่จะศึกษาต่อจากโฮมเพจของมหาวิทยาลัย ไม่ให้ส่งอีเมล์ โทรสาร หรือจดหมาย เพื่อขอรายละเอียดไปที่มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นโดยตรง
- ค้นหาข้อมูลนักวิจัยและหัวข้อวิจัยจากเว็บไซต์ http://read,jstgo.jpindexe.html ช่วงเวลาในการสอบจะแตกต่างกันไปตามแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งส่วนมากจะจัดสอบในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม แต่ก็มีบางแห่งจัดสอบในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ หรือ ดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม โดยเฉพาะในสาขาทางศิลปะ
ระดับวิทยาลัย
การเข้าศึกษาในวิทยาลัยนั้น นักศึกษาจะต้องสอบผ่านการสอบคัดเลือกเข้าวิทยาลัยที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น มีวิทยาลัยประมาณ 40% ที่มีวิธีการพิจารณาพิเศษสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ยิ่งไปกว่านั้นมีวิทยาลัยถึง 69% ที่ใช้ผลสอบวัตระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น และ 37% ใช้ผลการสอบสามัญทั่วไป สำหรับนักศึกษาต่างชาติเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือก
ระดับวิทยาลัยอาชีวศึกษา
การสอบเข้าของสถาบันการศึกษาประเภทนี้นั้น ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ
- การพิจารณาตามเอกสาร
- การสอบตามสาขาวิชา
- การสอบสัมภาษณ์
- การเขียนบทความสั้นๆ หรือการเขียนเรียงความ
- การทดสอบความถนัด
- การสอบภาคปฏิบัติ
- การสอบภาษาญี่ปุ่นและกตสอบความสามารถทางวิชาการ
การสมัครเรียนในประเทศญี่ปุ่น
วิทยาลัยอาชีวศึกษาจะมีการจัดงานเปิดสถาบัน (Open Campus) ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนมกราคมของทุกปี เพื่อให้นักเรียนที่สนใจเข้าเยี่ยมชมสถาบันได้ (ภายในช่วงเวลาที่กำหนด) โดยสามารถเดินทางไปดูสถานที่จริง รับข้อมูลเนื้อหาหลักสูตร ชมอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน รวมไปถึงการเข้าทดลองเรียนจริงในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อประกอบการตัดใจเลือกสาขาวิชาและสถาบันที่ตรงกับความต้องการได้ ซึ่งระหว่างที่เรียนภาษาอยู่ นักเรียนสามารถดำเนินเรื่องสมัครเรียนควบคู่ไปด้วยกับการสอบได้
การสอบในประเทศญี่ปุ่น โดยทั่วไปจะมีการจัดสอบหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อรับสมัครนักเรียนเข้าเรียนภาคเรียนในเดือนเมษายนปีถัดไป
วิทยาลัยเทคนิค การสอบเข้าของสถาบันการศึกษาประเภทนี้นั้น ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- การสอบตามสาขาวิชา
- การสอบด้วยการเขียนเรียงความ
- คัดเลือกจากเอกสาร
- การสัมภาษณ์
- การทดสอบความเหมาะสม
- การสอบภาคปฏิบัติ
- การสอบภาษาญี่ปุ่น
แม้ว่าวิธีการสอบจะแตกต่างกันไปตามสาขาวิชาหรือสถาบันแต่หลักเกณฑ์สำคัญที่ใช้ คือ พิจารณาจากความตั้งใจจริงในการศึกษา ความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นที่ต้องมีอย่างเพียงพอที่จะสามารถเข้าใจเนื้อหาในชั่วโมงเรียน และมีเป้าหมาย ในการเรียนชัดเจนหรือไม่เพียงใด
การสอบ
- การสอบวิชาสามัญทั่วไป สำหรับนักศึกษาต่างชาติ (EJU)
มหาวิทยาลัยของรัฐเกือบทั้งหมดใช้การสอบนี้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญา (โดยเฉพาะในระดับปริญญาตรี) ในมหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่นมี JASSO เป็นผู้จัดสอบ โดยมีศูนย์สอบในประเทศญี่ปุ่น 715 แห่งและในเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งประเทศไทยด้วย 17 แห่ง สามารถเลือกวิชาและภาษาที่จะสอบตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ (ยกเว้นวิชาภาษาญี่ปุ่นจะสอบเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น) ดังนี้
วิชา | จุดมุ่งหมาย | เวลา/ นาที | คะแนน |
ภาษาญี่ปุ่น | เพื่อวัดระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นที่จำเป็นต่อการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่น (Academic Japanese) | 125 | การอ่านและการฟัง 0 = 400
การเขียน 0 – 50 คะแนน |
วิทยาศาสตร์ | เพื่อวัดระดับความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา) ในการศึกษาคณะทางสายวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่น | 80 | 0 = 200
|
สังคม/ ความรู้ทั่วไป | เพื่อวัดความรู้สายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่จำเป็นในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะความสามารถทางด้านตรรกะ และการใช้ความคิดหาเหตุผล | 80 | 0 = 200
|
คณิตศาสตร์ | การวัดความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์ที่จำเป็นในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ประเทศญี่ปุ่น | 80 | 0 = 200
|
รายละเอียดการสอบ
รายละเอียด /
ครั้งที่ |
ครั้งที่ 1 | ครั้งที่ 2 |
เวลาสมัคร | เดือนกุมภาพันธ์ ถึง เดือนมีนาคม | เดือนมิถุนายน ถึง เดือนกรกฎาคม |
วันสอบ | เดือนมิถุนายน | เดือนพฤศจิกายน |
การประกาศผล | เดือนกรกฎาคม | เดือนธันวาคม |
สถานที่รับสมัคร
สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์ (ส.น.ญ.)
ที่อยู่: อาคารพหลโยธินเพลส ชั้นที่ 16 เลขที่ 408/65 ถนนพหลโยธิน
แขวงสามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร: 02-357-1241-5
E-mail: admin@ojsat.or.th
- การสอบวัดระดับความสมารถทางภาษาญี่ปุ่น จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดผลและรับรองความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของนักศึกษาต่างชาติ การสอบภายในประเทศญี่ปุ่น จัดสอบที่เมืองซัปโปโร โตเกียว คานางาวะ นาโงยา เกียวโต โอซากา โกเบ ฮิโรชิมา และฟูกูโอกะ
สำหรับประเทศไทยจัดสอบที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น
การสอบแบ่งเป็นระดับ ระดับที่ 1 (lkkyu) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการสอบนี้ (ผ่านการศึกษาภาษาญี่ปุ่นประมาณ 900 ชั่วโมง) ใช้เป็นเกณฑ์วัดความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของนักศึกษาต่างชาติที่สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น แต่ในระยะหลังมหาวิทยาลัยบางแห่งใช้เพียงระดับ 2 เท่านั้น เกณฑ์การนำผลสอบไปประกอบการพิจารณาจะแตกต่างกันในแต่ละมหาวิทยาลัย
สถานที่รับสมัครและสอบ
กรุงเทพมหานคร
-
- สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สาขาพหลโยอิน)
ที่อยู่: อาคารพหลโยธินเพลส ชั้นที่ 16 เลขที่ 408/65 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร: 02-357-1241-5
-
- สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบมราชูปถัมภ์ (สาขาสีลม)
ที่อยู่: 1/7 ชั้น 2 อาคารสีบุญเรื่อง 2 ถนนคอนแวนด์สีลม บางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทร: 02-234-6951
เชียงใหม่
-
- สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์ สำนักงานภาคเหนือ
ที่อยู่: 3/3 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
โทร: 053-814-344
สงขลา
-
- คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
ที่อยู่: 140 หมู่ 4 ตำบลขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา 90000
โทร: 074-311-885-7 ต่อ 1308 หรือ 1310
ขอนแก่น
-
- สถาบันภาษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ที่อยู่: ชั้น 4 อาคารศูนย์วิชาการมหาวิทยาลัยขอนแก่น
เงื่อนไขการสำเร็จการศึกษา
ปริญญาโทและปริญญาเอก
เงื่อนไขในการสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทและเอกนั้นแตกต่างกันในระดับปริญญาโท นักศึกษาจะต้องศึกษาเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี และได้รับหน่วยกิตในสาขาวิชาเอกครบตามที่กำหนด (อย่างน้อย 30 หน่วยกิต) รวมทั้งต้องเขียนและตรวจสอบวิทยานิพนธ์ให้ผ่านด้วย นักศึกษาที่สำเร็จจะได้รับ “ปริญญามหาบัณฑิต” (Shushi)
ส่วนหลักสูตรปริญญาเอกนั้น โดยหลักการแล้วนักศึกษาจะต้องศึกษาเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งรวมระยะเวลาที่ศึกษาในระดับปริญญาโท 2 ปี และได้รับหน่วยกิตรวมในระดับปริญญาโทอย่างน้อย 30 หน่วยกิตด้วย รวมทั้งต้องเขียนและสอบวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกให้ผ่าน นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจะได้รับ “ปริญญาดุษฎีบัณฑิต” (Hakushi)
วิทยาลัย
การสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยนั้น นักศึกษาจะต้องเรียนอย่างน้อย 2 ปีสอบผ่านอย่างน้อย 62 หน่วยกิต ในวิทยาลัยที่เรียน 2 ปี และสำหรับวิทยาลัยที่มีหลักสูตร 3 ปีนั้น นักศึกษาจะต้องสอบผ่านอย่างน้อย 93 หน่วยกิต นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยที่มีหลักสูตร 3 ปีจะได้อนุปริญญา
วิทยาลัยอาชีวศึกษา
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษา หลักสูตรวิชาชีพชั้นสูง จะได้รับการยอมรับเป็น “ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (Senmon-s)” ซึ่งจะมีผลต่อการหางานและการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการสำเร็จการศึกษา
เงื่อนไข | ประกาศนียบัตรวิชาชีพ | ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง |
จำนวนปีในการศึกษา | 2 ปีขึ้นไป | 4 ปีขึ้นไป |
จำนวนชั่วโมงเรียน | 1,700 ชั่วโมงขึ้นไป | 3,400 ชั่วโมงขึ้นไป |
การอนุมัติจบหลักสูตร | อนุมัติจบหลักสูตรโดยประเมินจากผลการสอบ | อนุมัติจบหลักสูตรโดยประเมินจากผลการสอบ |
โครงสร้างหลักสูตร | – | ตามระบบ 4 ปีการศึกษาเหมือนมหาวิทยาลัย |
เมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้น ก็จะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือประกาศนียบัตรชั้นสูง ผู้ที่ได้ประกาศนียบัตรวิชาชีพสามารถสอบเทียบโอนเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีได้
ส่วนผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ก็สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทได้ การจะสำเร็จการศึกษาได้หรือไม่นั้น จะพิจารณาจากผลสอบปลายภาคหรือจำนวนวันที่เข้าเรียน เป็นตัน
เกณฑ์การเลือกสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น
การเลือกสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น นอกเหนือจากที่มหาวิทยาลัยจัดไว้นั้น มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
- สถาบันนั้นต้องได้รับการรับรองจากสมาคมส่งเสริมการศึกษาภาษาญี่ปุ่น (Association for the Promotion of Japanese Language Education)
- เนื้อหาของหลักสูตร เป็นหลักสูตรที่เหมาะกับจุดมุ่งหมายของนักศึกษา
- การแบ่งระดับชั้นเรียน มีการจัดสอบเพื่อแบ่งชั้นเรียนตามพื้นความรู้ ภาษาญี่ปุ่นของนักศึกษา เพื่อจะได้เรียนบทเรียนที่เหมาะสมกับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของแต่ละคน
- วิชาพื้นฐาน สถาบันเปิดสอนวิชาพื้นฐานสำหรับการสอบคัดเลือก (ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี สังคมศาสตร์ เป็นต้น) พร้อมกับสอนหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นด้วย
- หอพักของสถาบัน สถาบันนั้นมีหอพักเอง หรือหากไม่มีที่พักของสถาบันโดยเฉพาะทางสถาบันควรมีนโยบายช่วยเหลือติดต่อหาที่พักอื่น ๆ ให้นักศึกษา
- การแนะแนวเกี่ยวกับการศึกษาและความเป็นอยู่ ควรมีบริการในการให้คำแนะนำทั้งด้านการศึกษาและความเป็นอยู่
- มาตรฐานการเรียนการสอน ดูจากสถิติผู้สอบวัดระดับ หรือสอบเข้าศึกษา
- จำนวนอาจารย์ผู้สอนเหมาะกับจำนวนนักเรียน
- ค่าเล่าเรียนเหมาะสมกับจำนวนชั่วโมงเรียน จำนวนผู้สอบ อุปกรณ์ กิจกรรม และไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้
ระยะเวลาการเรียนภาษาญี่ปุ่น
การเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น จะใช้เวลาศึกษา ดังนี้
- ผู้สมัครเข้าศึกษาในเดือนเมษายน จะใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี
- ผู้สมัครเข้าศึกษาในเดือนตุลาคม จะใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี 6 เดือน
คุณสมบัติของผู้สมัคร
- สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่าเป็นอย่างต่ำโดยมีเวลาศึกษาในชั้นประถมและมัธยมศึกษารวมกันไม่น้อยกว่า 12 ปี
- เป็นผู้ที่มีฐานะทางการเงินเพียงพอที่จะศึกษาเล่าเรียนในประเทศญี่ปุ่นจนสำเร็จการศึกษา
เอกสารที่ต้องใช้ในการสมัคร
การสมัครเรียนภาษาญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นนั้น สถาบันสอนภาษาจะพิจารณารับนักศึกษาจากเอกสาร โดยเอกสารหลักที่ต้องส่งไป มีดังนี้
- ใบสมัครของโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่กรอกข้อความสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว
- หลักฐานการศึกษาที่แสดงว่าสำเร็จการศึกษาเทียบได้ไม่ต่ำกว่า grade 12 ยื่นขอได้ที่สำนักทดสอบทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ หรือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต นักเรียนต้องนำหลักฐานการสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้แก่
-
- รบ.1 (ภาษาไทย) 1 ชุด พร้อมสำเนา
- Transcript (ภาษาอังกฤษ) 1 ชุด พร้อมสำเนา
- สำเนาหนังสือเดินทาง 1 ฉบับ เพื่อขอหนังสือรับรอง
นักเรียนที่สำเร็จการศึกษา ปวช. สังกัดรัฐยื่นขอได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ปวช. สังกัดเอกชนยื่นขอได้ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำหรับผู้จบ ปวช. หลักสูตรราชมงคลยื่นขอที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร วิทยาเขตเทเวศร์
- รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว ประมาณ 6 รูป
- ค่าสมัคร (ประมาณ 30,000 เยน)
วิธีการสมัคร
จัดส่งหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวไปยังโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่ประสงค์จะเข้าศึกษา เมื่อโรงเรียนสอนภาษาแห่งนั้นพิจารณาแล้ว เห็นสมควรรับนักเรียนเข้าศึกษาได้ก็จะออกหนังสือตอบรับให้ แล้วจัดส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในท้องถิ่นที่โรงเรียนนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอหนังสือรับรองสถานภาพการอยู่อาศัยเมื่อสำนักงานดังกล่าวอนุมัติสถานภาพการอยู่อาศัยของนักเรียนแล้ว ก็จะจัดส่งเอกสารรับรองไปให้โรงเรียนสอนภาษา เพื่อส่งให้นักเรียนนำไปขอประทับตราวีซ่าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยต่อไป
ระยะเวลาในการสมัคร
- ผู้ที่ต้องการไปศึกษาในเดือนเมษายน ควรสมัครช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม
- ผู้ที่ต้องการไปศึกษาในเดือนตุลาคม ควรสมัครช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน
เมื่อรวมเวลาที่ใช้ในการสมัครแล้ว ควรเริ่มเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนไปศึกษาอย่างน้อย 6 – 8 เดือน
ที่มา:
หนังสือสาระน่ารู้ OCSC EXPO 2018
สอบถามข้อมูลการบริการเพิ่มเติมติดต่อ
โทร : 090-327 3558, 088-269 5099
Email :contact@thebest-edu.com
Line : @thebestedu หรือคลิกเพิ่มเพื่อนด้านล่างได้เลยค่ะ